วันอังคารที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2555

ไหว้พระขอพร

วันนี้ได้อ่านหนังสือคู่มือกิจกรรม "ไหว้พระขอพร เสริมสิริมงคลให้ชีวิต ๙ หระอารามหลวง " 
ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เห็นว่าเป็นเกร็ดความรู้ที่มีประโยชน์สำหรับผู้สนใจเดินทางท่องเที่ยวสักการะสถานที่อันเป็นมงคล เพื่อการเริ่มต้นอย่างมีความสุขสงบทางใจ ตามคติความเชื่อของคนไทย และเพื่อเป็นการเรียนรู้ถึงคุณค่าของโบราณสถานที่สำคัญของเกาะรัตนโกสินทร์ จึงได้นำมาแบ่งปันกัน





วันศุกร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2555

ปรัชญาเต่า

เต่า....เดินช้าแต่ไม่เคยถอยหลัง                    เต่า.....มีอายุยืน                        เต่า....เป็นสัตว์สอง                         อยู่ในน้ำก็ได้ อยู่บนบกก็ได้ ปรับสภาพเก่ง เข้ากับสภาพธรรมชาติสิ่งแวดล้อมได้ดี
เต่า....ฉลาด รู้จักหลบหลีกเอาตัวรอด เวลามีภัยอันตรายจะหดหัว ขาเข้าไปในกระดอง เพื่อให้ตัวเองพ้นภัย ทำเหมือนตายแล้วเมื่อหมดภัยอันตรายแล้ว ก็ยื่นหัวออกมาและก้าวขาออกไปสู่จุดมุ่งหมายตามความประสงค์ เพื่อแสวงหาประโยชน์ให้แก่ชีวิต
เต่า....ขาสั้น แต่ความเพียรพยายามมาก จึงชนะกระต่ายขายาวมาเยอะ
เต่า....มีสี่ขา จึงสมกับปรัชญาที่ว่า 
                      ค่อยค่อย เรียนศิลป์ล้ำเลอคุณ              ค่อยค่อย แสวงหาทรัพย์ทุนก่อเค้า
                      ค่อยค่อย โกรธอย่าผลุนผลันโกรธ        ค่อยค่อย รักอย่าเร้าสี่นี้ควรประสงค์
เต่า....ใจเด็ด ไข่แล้วกลบ ไม่ห่วงไข่ ไข่เต่ามันขนาดนั้น ตัวเต่าจะมันขนาดไหน เต่า จึงฉลาด เสียสละไข่เอาชีวิตไว้ เพราะชีวิตสำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด ควรรักษาชีวิตไว้ให้ดี
       การรักษาชีวิตให้ดี คือ การรักษาหน้าที่การงานให้ดี งานคือชีวิต ชีวิตตั้งอยู่ได้เพราะหน้าที่่การงาน งานนำมาซึ่งโภคทรัพย์ทั้งหลาย หากเรารักษาชีวิตไว้ดี ชื่อว่ารักษาทุกสิ่งทุกอย่างไว้ดีด้วย  
      ชีวิต...ได้จากพ่อแม่ รู้จักใช้ชีวิตดี พ่อแม่ก็ดีไปด้วย  
      ความรู้....ได้จากครูอาจารย์ รู้จักใช้ความรู้ ครูอาจารย์ก็ดีไปด้วย  
      ยศศักดิ์....ได้จากพระเจ้าแผ่นดิน รู้จักรักษาหน้าที่การงาน เป็นการเชิดชูพระเจ้าแผ่นดิน
      พระเจ้าแผ่นดิน คุ้มครองเราตลอดเวลา
      ธาตุ  อายตนะ ที่มีในตัวเราเป็นชีวิต รู้จักนำไปประพฤติปฏิบัติบูชา เป็นการเกื้อกูลพระพุทธศาสนา
      ธรรมของพระพุทธเจ้า คุ้มครองเราตลอดเวลา
ฉะนั้น  พึงรักษาชีวิตให้ดี  งานคือชีวิต
การที่มีเต่าติดตัวไว้ ไม่ใช่เครื่องรางของขลัง หรือเป็นเรื่องที่งมงาย   มีไว้เป็นเครื่องเตือนสติ  หรือเป็นปรัชญา ในหลักทางพระพุทธศาสนา มีเต่าเกี่ยวข้องอยู่ด้วย
ประการแรก   เต่ามีอุปการธรรมในตัวเองโดยธรรมชาติ หากผู้ใดมีอุปการธรรม ธรรมย่อมอุปการะผู้นั้น 
                     สติ เป็นอุปการธรรม ควรมีสติในการคิด ควรมีสติในการพูด ควรมีสติในการทำ เมื่อคิดไม่
                     ผิด พูดไม่ผิด ทำไม่ผิด เพราะมีสติ ย่อมทำให้ชีวิต อนาคต ยศศักดิ์ หน้าที่การงาน ชื่อเสียง
                     ญาติบริวาร จะอยู่กับเรายาวนานเหมือนกับเต่าที่มีอายุยืน
ประการที่สอง เราควรปรับตัวให้เข้ากับธรรมชาติและสังคมสิ่งแวดล้อม ไม่ใช่ให้ธรรมชาติและสังคมสิ่ง  
                       แวดล้อม ปรับสภาพมาสู่ตัวเรา เพราะธรรมชาติมีก่อน เราควรรู้จักใช้ธรรมชาติให้เป็นประ
                       โยชน์ อุปมาอุปมัย เหมือนใช้เครื่องสื่อสาร เราควรจะปรับเครื่องรับให้ตรงกับเครื่องส่ง มิ
                       ใช่ไปปรับเครื่องส่งให้ตรงกับเครื่องรับ เพราะผิดธรรมชาติ ผู้ใดใช้ธรรมชาติเป็น ผู้นั้นชื่อ
                       ว่ามีธรรมในตัวเอง"สภาพซึ่งทรงไว้ซึ่งความจริงเป็นสัจธรรม"
ประการที่สาม ในหลักทางพระพุทธศาสนา ท่านสอนไว้ว่า "ไม่ควรฟังคำก้าวร้าวของผู้อื่น ไม่ควรมองดู
                       การงานของผู้อื่นเขาทำแล้ว และยังไม่ได้ทำ ควรพิจารณาดูแต่การงานของตนที่ทำแล้ว
                       และยังไม่ได้ทำเท่านั้น" ดังเช่น เต่าฉลาด รู้จักปกป้องและเอาสิ่งที่เป็นประโยชน์เพื่อความ
                       อยู่รอด โดยวิธีมีเกราะกำบังภัย คือกระดองของเต่า "เอาแต่เรื่องของตัวเอง ไม่สนใจเรื่อง
                       ของผู้อื่น"
ประการที่สี่      ความเพียรเป็นสิ่งสำคัญ ย่อมนำมาซึ่งความสำเร็จ และพ้นจากทุกข์ได้ เต่ามีความเพียร
                       พยายามฉันใด เต่าย่อมมีชัยชนะได้ ถึงแม้ว่าจะมีขาสั้น พึงชนะกระต่ายขายาวได้เช่นกัน
                       หากคนเรามีความเพียรในการคิด มีความเพียรในการพูด มีความเพียรในการทำ เพียรคิด
                       ทีละอย่าง ทำทีละอย่าง จะนำมาซึ่งความสำเร็จประโยชน์มาสู่ชีวิตและหน้าที่การงานได้
                       เว้นแต่ความคิดพร้อมๆกัน พูดพร้อมๆกัน ทำพร้อมๆกัน ทีละหลายเรื่อง จะเป็นบ่อเกิดแห่ง
                       ความทุกข์และไม่เป็นผลสำเร็จประโยชน์อีกด้วยแถมจะเป็นเครื่องบั่นทอนกำลังสติปัญญา
                       อย่างร้ายแรง ฉะนั้น ต้องฉลาดคิด ฉลาดพูด ฉลาดทำ
ประการสุดท้าย เต่ารู้จักรักษาชีวิต รู้คุณค่าของชีวิต เวลาไข่แล้วจึงใจเด็ดเสียสละไป เพื่อเอาชีวิตไว้
                         อุปมาเฉกเช่น ควรทำงานที่เป็นประโยชน์ส่วนใหญ่ก่อน ในระยะเวลาสั้นพึงละอุปสรรค
                         อันเล็กน้อยที่เกิดขึ้น ไว้คิดเมื่อภายหลังจะไม่เป็นการเสียโอกาส
       ชีวิตสำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด พึงรักษาชีวิตให้ดี ผู้ใดรักชีวิตผู้นั้นพึงรักษาหน้าที่การงานให้ดี เพราะการงานนำมาซึ่งโภคทรัพย์ทั้งหลายเพื่อยังชีวิตให้อยู่ได้ ฉะนั้นผู้ใดรักษาหน้าที่การงานไว้ดี ก็ชื่อว่ารักษาชีวิตไว้ดีด้วย ผู้ใดรักษาชีวิตไว้ดีก็ชื่อว่ารักษาทุกสิ่งทุกอย่างไว้ด้วยดีเช่นกัน
        เพราะเหตุว่าชีวิตได้มาจากพ่อแม่ เมื่อเรารู้จักรักษาชีวิตของเราได้ดี พ่อแม่ก็ดีไปด้วย ถึงท่านละโลกนี้ไปแล้ว ตน ตัว หัว ขา อวัยวะทุกส่วนเราได้มาจากพ่อแม่ เรารู้จักใช้ในทางที่ดี ทางที่เป็นประโยชน์ เราชื่อว่าใช้พ่อแม่ได้ไม่เป็นโทษเพราะใช้สมบัติของท่านให้เป็นประโยชน์
        ครูบาอาจารย์เช่นกัน ท่านให้ความรู้แก่เรา เรานำความรู้ไปใช้พร้อมทั้งคุณวุฒิ คุณธรรม ชื่อว่าครูบาอาจารย์ก็อยู่ในชีวิตเราตลอดไป เรารักษาความรู้ไว้ได้ ครูบาอาจารย์ก็ดีไปด้วยและคุ้มครองเราตลอดไปไม่ว่าจะไปอยู่ในที่ไหนๆ
        ยศศักดิ์ก็เช่นกัน เราได้รับโปรดเกล้าฯแต่งตั้งในหน้าที่การงาน โดยเฉพาะข้าราชการ เราทำงานในหน้าที่ เป็นต่างพระเนตรพระกรรณของล้นเกล้า ล้นกระหม่อม ชื่อว่าเป็นการเทอดทูนต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ พระองค์ทรงคุ้มครองเราตลอดเวลา
        ธาตุ อายตนะที่มีอยู่ในตัวเรา กาย จิต วิญญาณ นาม รูป ที่เป็นชีวิต เรารู้จักนำไปประพฤติปฏิบัติในคุณธรรม การรักษาศีล การบริจาคทาน การเจริญจิตภาวนา เป็นปฏิบัติบูชา พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญว่าเป็นบูชาอย่างยิ่ง นำชีวิตไปสู่ชีวิตที่ดี พระพุทธเจ้าคุ้มครองเราตลอด
        ดังนั้น ชีวิตสำคัญสมจริงดังที่กล่าวมา ดังปรัชญาเต่าที่กล่าวมาข้างต้น ขอให้ทุกคนจงรู้จักรักษาชีวิตให้ดีก็พอแล้ว           งานคือชีวิต งานดี ชีวิตดี ทุกสิ่งทุกอย่างก็ดีไปด้วย  มีชีวิตอยู่ มีโอกาส มีทุกสิ่งทุกอย่างอีกเช่นกัน
เมตตาธรรมจาก หลวงพ่อสุรินทร์ กิตฺติโก เจ้าอาวาสวัดนครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา

วันจันทร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2555

ชีวิตกับสมาธิ

                              สิบนิ้วน้อมประณมก้มลงกราบ                ซึ้งกำซาบคุณพ่อแม่แผ่ไพศาล
                              ซึ้งในคุณเมตตาครูอาจารย์                    ที่พร่ำขานบ่มจิตนิจนิรันดร์
                              ขอตั้งจิตคิดหวังดังประสงค์                    หมายจำนงค์สิ่งดีแท้ไม่แปรผัน
                              ดำเนินตามครรลองดีเพื่อชีวัน                ชั่วกัปป์กัลป์ซึ้งแจ้งหมด...รสพระธรรม
         เนื่องในโอกาสเปิดศาลาปฏิบัติกรรมฐาน"อัปปมัญญาพรหมวิหาร"  และครบรอบวันคล้ายวันเกิดของพระอาจารย์พระมหาฉัตรชัย  รักขิตฺจิตโต  วันที่  ๑๑  กันยายน  ๒๕๓๗ นี้  ข้าพเจ้ามีบทความที่เป็นเกร็ดความรู้ และข้อธรรมะที่ได้รับจากการอ่าน จากการปฏิบัติ และจากคำสอนของครูบาอาจารย์หลายท่าน ในเรื่องชีวิตกับสมาธิ  หรือสมถะกรรมฐาน มาแบ่งปันพอสังเขป ดังนี้
         ชีวิตของข้าพเจ้า.ถือว่าโชคดี ที่ได้เกิดมาในครอบครัวของคุณพ่อคุณแม่ ที่สนใจธรรมะ และเป็นพุทธบริษัทที่ดี แต่การเกิดก็เป็นทุกข์ ดังคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ว่า" ชาติปิ ทุกขา ชราปิ ทุกขา มรณังปิ ทุกขา "  แม้ในสมัยพุทธกาล สาวกของพระพุทธเจ้าเจอกันก็จะทักทายว่า " ขมนิยะ"
แปลว่า " ยังทนได้หรือ " เพราะชิวิตนี้เป็นทุกข์ เกิดมาก็เป็นทุกข์ ด้วยเหตุนี้ ชีวิตจึงต้องหาหลักยึด หรืออุบายคำสอนที่จะหลีกเลี่ยงทุกข์ ด้วยการทำความดีในหลากหลายรูปแบบ
         สมาธิ..ก็เป็นรูปแบบหนึ่งที่เข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะสมาธิ เป็นเรื่องของธรรมชาติที่จะนำไปสู่การพ้นทุกข์ ในที่สุด สมาธิ คือ ความตั้งมั่นแห่งจิต สมถะกรรมฐาน มีความหมายว่า การกระทำหรืออุบาย เพื่อให้เกิดความสงบทางใจ โดยย ังไม่พิจารณาอะไรหรืออย่างใดทั้งสิ้น
         หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ท่านสอนว่า " การทำสมาธิหรือภาวนา ก็คือ วิธีอบรมใจให้ได้รับความสงบ เพราะเราไม่เคยสงบตั้งแต่ไหนแต่ไรมา ใจที่ไม่ได้รับความสงบก็จะไม่มีพลัง ที่จะเกิดความรู้ คือ ความนึกคิดอะไรต่างๆ ให้เห็นของจริงได้ เหตุนั้นการทำสมาธิหรือภาวนา จึงเป็นการสร้างพลังใจให้สงบนิ่งอยู่ในที่เดียว "
         ข้าพเจ้าและครอบครัว ได้มาผึกสมถะกรรมฐานในแนวอัปปมัญญาพรหมวิหาร กับพระอาจารย์พระมหาฉัตรชัย รักขิตจิตโต เมื่อก่อนเข้าพรรษา ปี ๒๕๓๖ ผลของการปฏิบัติก็เจริญก้าวหน้าด้วยดี แม้จะมีติดขัดและถอยหลังบ้าง ก็เป็นเพราะไม่ค่อยมีความเพียรอย่างสมำ่เสมอ
         ข้าพเจ้าได้เคยอ่านหนังสือธรรมะ ทราบว่ากรรมฐานมีอยู่ ๔๐ อย่างด้วยกัน แต่ที่เป็นอารมณ์ของ กรรมฐาน ทำเพื่อให้ใจสงบได้ฌาน มีเพียง ๓๐ อย่าง คือ กสิณ ๑๐ อานาปาณสติ ๑ อสุภะ ๑๐ กายคตาสติ ๑ อัปปมัญญา ๔ อรูป ๔ นอกนั้นเป็นเพียงข่มนิวรณ์ไม่ให้เกิดขึ้นเท่านั้น ถ้าผู้มีปัญญาก็สามารถทำให้เป็นบาทของวิปัสนาได้
         เมื่อได้ฌาน ก็จะเป็นทางไปเป็นพรหมต่างๆ ที่มีอายุยืนตั้งแต่ ๑/๔ มหากัปป์ จนถึง ๘๔,๐๐๐ มหากัปป์ มหากัปป์นั้นยาวนานเหลือที่จะคณานับได้ อุปมาเหมือนภูเขาศิลาแท่งทึบกว้างด้านละ ๑ โยชน์ สูง ๑ โยชน์ เวลา ๑๐๐ ปี มีเทวดานำเอาผ้าทิพย์อันละเอียด มาปาดไปทีหนึ่ง จนกระทั่งภูเขานั้นเสมอกับพื้นดิน เรียกว่ามหากัปป์ หรืออุปมาเหมือนสระใหญ่ กว้างด้านละ ๑ โยชน์ทั้ง ๔ ด้าน ลึก ๑ โยชน์ เวลา ๑๐๐ ปี มีเทวดานำเมล็ดผักกาด ๑ เมล็ดใส่ลงในสระใหญ่นั้น จนกระทั่งเต็มสระเสมอพื้นดิน เรียกว่ามหากัปป์
         พรหมจะอยู่จนสิ้นอายุ แล้วจะกลับมาปฏิสนธิเป็นเทวดาหรือมนุษย์ แต่ไม่ตกอบายภูมิเพราะอำนาจ ฌานรักษาไว้ ต่อเมื่อทำความชั่วในเทวดาหรือมนุษย์จึงตกอบายภูมิ เมื่อพรหมจุติลงมาปฎิสนธิเป็นมนุษย์นั้น ย่อมเป็นมนุษย์ที่มีสติปัญญา ประกอบด้วยพรหมวิหาร๔ ชอบอิสระ ยินดีในที่สงบสงัด ชอบทำ กรรมฐาน ทั้งนี้เพราะอำนาจบารมีที่ได้บำเพ็ญฌานมาเป๋นปัจจัยช่วยอุปถัมภ์ให้เป็นไป ทำอะไรก็มักจะได้ดีเป็นพิเศษเสมอ ฉะนั้น พวกเราทุกคนพึงตั้งใจให้ถึงพร้อมด้วยความเพียร ตามคำสอน และแนวปฏิบัติอัปปมัญญาพรหมวิหาร ของพระอาจารย์พระมหาฉัตรชัย รักขิตจิตโต เพื่อการพ้นทุกข์ เพื่อชีวิตที่ดีงาม และเพื่อเป็นพลวปัจจัยอุปนิสัยนำส่งให้กลับไปเป็นพรหม ของพวกเราทุกคน สาธุ.!

วันเสาร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2555

วันนี้ของชีวิต


เม็ดทราย นับไม่ถ้วน จำนวนทราย        คนทั้งหลาย นับไม่ถ้วน ในคุฌค่า
ทรายจะแกร่ง ก็เพราะผ่าน กาลเวลา     คนจะกล้า ก็เพราะผ่าน การอดทน
       จากเด็กทารกที่เกิดมา...บริสุทธิ์...ไร้เดียงสา...เรียกหาสัมผัสอันอบอุ่น..จากพ่อแม่  เริ่มคลาน..เริ่มเดินและเริ่มกินอาหารได้ก็เพราะ การชี้แนะช่วยเหลือ
            จนกระทั่งเติบโตเป็นผู้ใหญ่ รู้จักเลือกการต่อสู้ของชีวิตที่ถูกทาง ไม่รังแกใคร..ไม่เอาเปรียบใคร ต่อสู้ด้วยขาของตัวเองทั้งคู่...ด้วยแขนด้วยมือของตัวเองทั้งสองข้าง...ด้วยสายตาที่กว้างไกลและด้วยลมหายใจที่สูดเข้าเต็มปอด..ด้วยจมูกของตัวเอง
       อุปสรรคที่ผ่านไปหมายถึง...ความอดทน...มุ่งมั่นสร้างสรรค์ด้วยใจสู้...อยู่ด้วยปัญญา..แสวงหาความรู้..เพิ่มพูนความสามารถด้วยประสบการณ์ และเสริมคุณธรรมความดีไว้ในตัวเรา
             วันนี้..คือชีวิต  พรุ่งนี้.....ไม่มีอะไรแน่นอน  ฉะนั้นเราควรทำวันนี้ให้มีความหมายมากที่สุด และตระหนักอยู่เสมอว่า  ความกล้า....ความปิติ.....ความเยือกเย็น.....ความหวัง....ความสำเร็จและความรัก มีอยู่ทุกขณะจิต สำคํญที่ตัวเราจะเปิดรับเข้ามาได้มากน้อยแค่ไหน ในชีวิตประจำวัน
           เพื่อวันนี้...เราจะอยู่อย่างชาวพุทธที่แท้ คือตื่นตัว...ว่องไว  สุขใจที่ได้ทำงาน และมีชีวิตอยู่..เพื่อทำความดี ทำหน้าที่ของตน ทำสิ่งที่ดี ทำสิ่งที่ถูกต้องและชอบธรรม
          เพื่อวันนี้.เราจะมีความสุข ด้วยการพัฒนาจิตใจให้เจริญงอกงาม ขยันหมั่นเพียร ไม่เบียดเบียนผู้อื่น รู้จักแสวงหาอาหารบำรุงกาย...บำรุงจิตใจ....และบำรุงสมองให้ได้สัดส่วน เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี
          เพื่อวันนี้..เราจะทำสิ่งดีๆ ด้วยการเป็น"ผู้ให้" ช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน คิดดี คิดชอบ แล้วลงมือทำ อย่างมีแบบแผนที่เป็นไปได้และพยายามทำให้ดีที่สุด
              เรามาสร้างสัญญาประชาคมกันดีไหม ว่าเราจะอยู่ร่วมกันอย่างเกื้อกูล เหมือนต้นไม้ในป่าที่ช่วย กันป้องกันลมแรง....แสงแดด และโอนอ่อนผ่อนตามยามพายุร้าย เราจะเป็นเหมือนสายน้ำที่ปรับเปลี่ยนไปตามสภาพที่ไหลผ่าน
              เริ่มต้นกันวันนี้ดีกว่า.... ดังคำสอนของท่านพุทธทาสภิกขุ ที่ว่า  จงทำวันนี้ให้ดี ให้มีค่า และจงคิดทำพรุ่งนี้ให้ดีกว่าวันนี้ ทำอย่างนี้เรื่อยไป ตรวจสอบตัวเองและงานด้วยความไม่ประมาท
              รุ่งอรุณวันใหม่..พระอาทิตย์ส่องแสงเจิดจ้าทุกๆวัน เช่นเดียวกับชีวิตที่ต้องเริ่มต้น...อย่างสดใส ใจสดชื่นเบิกบาน..คิดบวก.. มองโลกในแง่ดี ศรัทธาในตนเองและเชื่อมั่นในชีวิตของตนเอง
              วันนี้เรา พร้อมอยู่ สู้ชีวิต                           ด้วยดวงจิต มุ่งมั่น ไม่หวั่นไหว
  วันนี้สร้าง ความสุข ไม่ทุกข์ใจ                 กว่าวันใหม่ มาถึง จึงยินดี
  วันนี้สร้าง คุณธรรม นำชีวิต                     ขัดเกลาจิต ผุดผ่อง ไม่หมองศรี
  วันนี้สร้าง ปัญญา บารมี                           ด้วยไมตรี มีต่อกัน ไม่บั่นทอน
  วันนี้หมั่น รักษาศีล บริสุทธิ์                      ตามแนวพระพุทธ องค์ ทรงสั่งสอน
  วันนี้ตั้ง สติมั่น ไม่สั่นคลอน                     แม้ม้วยมรณ์ มิรู้ร้าง สร้างความดี....  ๑/๔/ ๒๕๓๒