วันพฤหัสบดีที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2555

สมองเสื่อม



        
     สมองเสื่อม คือ สภาวะของสมองที่เสื่อมถอยในหน้าที่การรับรู้ ไม่ใช่เฉพาะเรื่องความจําเพียงอย่างเดียวยังรวมถึงความคิด การตัดสินใจ และพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม มากบ้างน้อยบ้าง จนเมื่อมีอาการมากขึ้นจะไม่สามารถดูแลตัวเองได้ สมองเสื่อมมีโอกาสเกิดขึ้นได้กับคนทุกอายุ เพราะสมองเสื่อมเกิดจากหลายสาเหตุ แต่ปรกติจะพบได้บ่อยในผู้สูงอายุ แต่ไม่ใช่ว่าเมื่อเข้าสู่วัยผู้สูงอายุแล้วจะเป็นโรคสมองเสื่อมเสมอไป
      จากงานวิจัยในประเทศไทย พบว่าวันข้างหน้าอีกประมาณ 4-5 ปี จะมีผู้ป่วยสูงอายุเป็นโรคสมองเสื่อมมากถึง 9 ล้านคน เมื่อเราทราบอย่างนี้แล้ว ก็มาหาทางบำรุงสมองกันดีกว่า เพื่อป้องกันไม่ให้สมองเสื่อมก่อนวัยอันควร ซึ่งเมื่อเป็นแล้วจะเป็นภาระกับคนในครอบครัวอย่างมาก ที่จะต้องมาคอยดูแลอยู่ตลอดเวลา
       สาเหตุอาจเกิดมาจากเลือดไม่ไปเลี้ยงสมอง เพราะกินอาหารผัดน้ำมันเป็นประจำติดต่อกันหลายปี น้ำมันจะเกาะผนังลำไส้ ทำให้ดูดซึมสารอาหารที่เป็นประโยชน์ไปเลี้ยงสมองไม่ได้
       วิธีดูแลสมอง เช่น
       1. พยายามขับถ่ายระหว่างเวลา 05.00-07.00 น.
       2. กินอาหารเช้าระหว่างเวลา 07.00-09.00 น.เพื่อให้เลือดรับสารอาหารไปเลี้ยง
          สมองและกินโยเกิร์ต+นมสด+น้ำผึ้ง+มะนาว ระหว่างเวลา13.00-15.00 น.
          เพื่อล้างลำไส้เล็กและเปลี่ยนขยะในลำไส้ให้เป็นวิตามิน B12 ส่งไปบำรุิงสมอง
       3. ล้างระบบดูดซึมด้วยสูตรมะละกอดิบต้มน้ำ แล้วชงชาดื่ม
       4. ใช้กระเจี๊ยบแดงแห้งหรือสด ต้มกับพุทราจีนแห้ง ใช้ดื่มน้ำเพื่อล้างไขมันในเลือด
          เป็นประจำ
       5. กินน้ำกระชาย แล้วกินน้ำใบบัวบกตาม จะส่งบำรุงสมองได้โดยตรง และผลไม้
          ชื่อลูกไข่เน่าเป็นผลไม้ที่บำรุงสมองได้ดีมาก หรือคึ่นฉ่าย ,เม็ดบัว , แปะก้วย
       6. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

        วิธีกดนิ้วเพื่อให้เลือดไปเลี้ยงสมอง ป้องกันสมองเสื่อม


        นอกจากการกดนิ้วเพื่อให้เลือดไปเลี้ยงสมองแล้ว ควรฝึกการหายใจเข้าอย่างช้าๆให้พุงป่องออก แล้วหายใจออกให้พุงยุบลง (หายใจลึกๆ) เพื่อเป็นการไปกระตุ้นเซลล์สมองที่คุมโปรแกรมความจำดีงามในอดีตหรือปัจจุบัน และเป็นการเพิ่มออกซิเจนให้ปอดกับสมอง
        ในทางตรงกันข้าม ถ้าหายใจถี่ๆตื้นๆเร็วๆ จะเป็นการกระตุ้นเซลล์สมองกลุ่มที่บันทึกเรื่องไม่ดีเอาไว้ ให้ออกมาใช้งาน จึงควรฝึกหายใจช้าๆ เพื่อกระตุ้นเซลล์สมองกลุ่มที่บันทึกเรื่องดีๆ ออกมาใช้งาน เป็นวิธีป้องกันสมองเสื่อมได้อีกวิธีหนึ่ง

อาหารบํารุงสมอง
        การเลือกกินอาหารที่มีสารบํารุงสมองอย่างเหมาะสม ทําให้สุขภาพของสมอง
แข็งแรงสามารถทํางานตามหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพซึ่งสารอาหารที่บํารุงสมอง
มีหลายชนิดด้วยกัน ได้แก่
1. คารโบไฮเดรต  : ธัญพืชหรือถั่ว
2. กรดโฟลิก : ผักใบเขียวทุกชนิด แครอท แคนตาลูป ฟักทอง อะโวคาโด ธัญพืช
    และถั่วต่างๆ่ ตับ ไข่แดง ข้าวซ้อมมือ น้ำส้ม มะนาว สตรอเบอร์รี กล้วยน้ำว้า
3. กรดอะมิโน : ถั่วเหลือง ชีส อัลมอนด์ ถั่วลิสง งา เมล็ดฟักทอง  นม หอย กุ้ง
4. วิตามินB,C,E : ธัญพืชและถั่ว เนื้อสัตว์ต่างๆ ผักสีเขียว นม กล้วย ไข่ ผลไม้รสเปรี้ยว 
5. แร่ธาตุแมกนีเซียม โพแทสเซียม สังกะสีไอโอดีน : ธัญพืชและถั่วต่างๆ่ ผักใบเขียว  
    เมล็ดฟักทอง กล้วย ส้ม องุ่น ลูกพรุน เนื้อสัตว์ และอาหารทะเลต่างๆ่ นม โยเกิร์ต
6. โอเมก้า-3 : ปลาทะเลน้ำลึก ปลาทูน่า ปลาแซลมอน ที่มี EPA และ DHA
7. เลซิทิน : ไข่แดง  ตับ ถั่วเหลือง

สรุปได้ว่า เราสามารถดูแลตนเองให้ห่างไกลจากโรคสมองเสื่อมได้ด้วยการทํากิจกรรมที่ช่วยบริหารสมองให้เกิดความแข็งแรง พร้อมทั้งดื่มน้ำสะอาดและกินอาหารให้ครบ 5 หมู่

วันอังคารที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ไม่ขับถ่ายตอนเช้า...จะเกิดอะไรขึ้น


      ในช่วงเวลา 05.00 น.-07.00 น. เป็นเวลาของลำไส้ใหญ่ การขับถ่ายตอนเช้าจึงเป็นสิ่งสำคัญเพราะถ้ายังไม่ยอมขับถ่ายแล้วปล่อยเวลาเลยมาถึง 07.00-09.00 น. ซึ่งเป็นเวลาของกระเพาะอาหาร แล้วไม่ยอมกินข้าวเช้าอีก อุจจาระจากลำไส้ใหญ่ที่ไม่ขับถ่ายออกก็จะถูกดูดซึมซ้ำอีกครั้ง ในอุจจาระเก่ามีแก๊สที่เสียแล้วเกิดจากการบูดเน่าโดยอุณหภูมิของร่างกายซึ่งมีความร้อน 37 องศา ตลอดเวลา  เพราะฉะนั้นแก๊สพิษเหล่านี้จะถูกดูดซึมเข้าไปในกระแสเลือด เลือดจึงไม่สะอาด ถ้าเลือดที่ไม่สะอาดไหลไปเลี้ยงทุกส่วนของร่างกาย ไหลผ่านสมอง หัวใจ ปอด ตับ ผิวหนัง ก็จะได้รับพิษจากแก๊สพิษด้วย ทำให้
   - ก่อนเที่ยงถึงบ่าย จะรู้สึกง่วงนอนเพราะเลือดไม่สะอาดไปเลี้ยงหัวใจ หัวใจก็จะอ่อนล้า ไม่สดชื่น
   - มีกลิ่นตัว กลิ่นปาก เนื่องจากเลือดไม่สะอาดไปเลี้ยงปอด ปอดก็จะขับของเสียออกทางผิวหนังและลมหายใจ ตัวเองไม่ค่อยได้กลิ่น แต่คนอื่นได้กลิ่น
   - ถ้าปล่อยไว้ไม่ขับถ่ายในช่วงเวลา 05.00 น.-07.00น. นานๆเข้าเป็นระยะเวลาหลายๆปี จะทำให้เลือดที่ไม่สะอาดไปเลี้ยงสมอง และไม่ได้กินอาหารมื้อเช้าในช่วงเวลา 07.00 น.-09.00 น. สมองก็จะไม่ได้รับสารอาหารที่เป็นประโยชน์ เมื่อแก่ตัวไปความจำจะเสื่อมเร็ว
   - เมื่ออายุมากขึ้นจะมีอาการปวดเข่า  เป็นริดสีดวงทวาร
วิธีแก้
   - พยายามขับถ่ายระหว่างเวลา 05.00 น.-07.00 น. ถ้าไม่ขับถ่ายควรกินขมิ้นชันช่วงเวลานี้เพื่อบริหารลำไส้ใหญ่ให้ทำงาน
  - ควรกินข้าวเช้าทุกวันระหว่างเวลา 07.00 น.-09.00 น.                            

อาหารที่ช่วยในการขับถ่าย                                                        
    ท้องอืด ท้องผูก โรคคุ้นเคยที่ใคร ๆ ก็ไม่อยากจะให้มาใกล้ชิด เพราะรู้ว่า ถ้าปล่อยไว้อาจจะเป็นช่องทางในการของการเกิดริดสีดวงทวาร ที่อาจลุกลามกลายเป็นเรื่องใหญ่สู่มะเร็งลำไส้ หรือติดเชื้อในลำไส้ก็เป็นได้ หนทางที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้โรคอันไม่พึงประสงค์เหล่านี้มากล้ำกรายนั้นอยู่ที่การทำให้ระบบขับถ่ายนั้นปกติที่สุด หรือพูดง่าย ๆ ว่า การขับถ่ายเป็นประจำ แต่การที่จะทำให้ได้อย่างที่ว่านี้ ปัจจุบันหลักนั้นอยู่ที่การเลือกอาหารที่บริโภคเข้าไป 
    ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ แอปเปิ้ล สตรอเบอร์รี่ ส้ม แครอท มะเขือเทศ ผักใบเขียว ธัญพืช หรือขนมปังโฮลวีต เหล่านี้ คืออาหารที่จะช่วยให้ขับถ่ายได้ดี นั่นเป็นเพราะอาหารเหล่านี้มีเส้นใยอาหารสูงที่จะช่วยระบบขับ ถ่ายให้ทำงานเป็นปกติ 
     ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ จะมีเส้นใยอาหารอยู่มาก จะช่วยอุ้มน้ำ ทำให้อาหารเดินทางได้รวดเร็ว และทำให้อึมีน้ำหนักมากขึ้น เป็นที่มาของการขับถ่ายที่ดี เช่นเดียวกับ แอปเปิ้ล สตรอเบอร์รี่ หรือผลไม้ต่าง ๆ ก็จะมีเซลลูโลส ทำให้อึกากอาหารพองตัว 
     เพชรดาว ทัศนศร นักโภชนาการ โรงพยาบาลเวชธานี ขยายความเข้าใจไว้ว่า อาหารที่ช่วยในการขับถ่ายนั้นเป็นอาหารที่มีเส้นใยหรือที่เรียกว่า ไฟเบอร์ ที่แบ่งได้เป็น เส้นใยที่ละลายในน้ำ ที่มักจะพบในผลไม้ต่าง ๆ และเส้นใยที่ไม่ละลายในน้ำ จำพวกนี้ถือได้ว่า เป็นยาระบายอย่างดีเพราะจะสามารถดูดซับน้ำและเร่งให้ผนังลำไส้บีบคลายตัว ช่วยให้กากอาหารเคลื่อนที่ ทั้งยังช่วยให้กากอาหารนั้นอ่อนนุ่ม หมดปัญหาที่จะเป็นริดสีดวงทวารหนัก ประเภทนี้มักจะเจอในผักและธัญพืช
    ส่วนปริมาณที่เหมาะสมในการรับประทานนั้น แบ่งง่าย ๆ คือ ควรกินผักสุก 1 ทัพพี ผลไม้ประมาณ 8-10 ชิ้น หรือส้ม 1 ลูกก็พอแล้ว
    เลือกอาหารได้เหมาะแล้วอย่าลืมที่จะดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ  8-10 แก้ว ด้วยก็จะยิ่งช่วยให้การขับถ่าย...ได้อย่างมีคุณภาพ

ที่มา : กินเป็นลืมป่วย , เคล็ดวิธี...กินอย่างไร? ไร้โรคภัย  

วันศุกร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เจ้าแม่กวนอิม


       
         กวนอิม ตามสำเนียงฮกเกี้ยน หรือกวนอิน ตามสำเนียงจีนกลาง (觀音)พระโพธิสัตว์ของพุทธศาสนาฝ่ายมหายานเป็นองค์เดียวกันกับพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ในภาษาสันสกฤตซึ่งมีต้นกำเนิดจากพระสูตรมหายานในอินเดียและได้ผสมผสานกับความเชื่อพื้นถิ่นดั้งเดิมของจีน คือตำนานเรื่องพระธิดาเมี่ยวซ่าน ก่อให้เกิดเป็นพระโพธิสัตว์กวนอิมในภาคสตรีขึ้น เพื่อแสดงออกถึงความอ่อนโยน และแสดงถึงความเมตตากรุณาให้เด่นชัดยิ่งขึ้นดังเช่นความรักของมารดาที่มีต่อบุตร ซึ่งเป็นการผสมผสานกลมกลืนทางความเชื่อที่ปราศจากข้อขัดแย้ง เพราะพระอวโลกิเตศวรนั้นสามารถแบ่งภาคเพื่อโปรดสรรพสัตว์ได้มากมายทั้งปางบุรุษและสตรี  
ตามตำนานพระโพธิสัตว์กวนอิม นั้นได้จุติจากเทพธิดาบนสวรรค์ลงมายังโลกมนุษย์(วันที่ ๑๙ เดือนยี่)เพื่อมาช่วยปลดเปลื้องทุกข์ภัยแก่มวลมนุษย์ เป็นราชธิดาองค์สุดท้ายของกษัตริย์เมี่ยวจวง แห่งอาณาจักรซิงหลิน มีพระนามว่า เมี่ยวซ่าน เจ้าหญิงเมี่ยวซันมีจิตใจเมตตากรุณาต่อสัตว์ทั้งหลาย เป็นพุทธมามกะรู้แจ้งในหลักธรรม ตั้งแต่เยาว์วัยและมีพระทัยแน่วแน่ที่จะออกบวชเพื่อหลุดพ้นจากสังสารวัฏ ตามคำสอนของพุทธศาสนา
พระบิดาผู้มีจิตใจโหดร้ายชอบการเข่นฆ่าและทำสงครามไม่ยินยอมกลับบังคับให้เจ้าหญิง เมี่ยวซันเลือกคู่ครอง เจ้าหญิงเมี่ยวซันก็ยืนกรานที่ออกบวชไม่ว่าพระบิดาจะดุด่าหรือใช้อุบายต่างๆนานามาหลอกล่อเกลี้ยกล่อม อย่างไรก็ไม่สำเร็จจึงเกิดพิโรธ ขับเจ้าหญิงเมี่ยวซ่านให้ไปทำงานหนักในสวนดอกไม้ เช่น หาบน้ำ ปลูกดอกไม้ เพื่อทรมานให้เปลี่ยนความตั้งใจ แต่ก็มีเหล่ารุกขเทวดามาช่วยทำแทนให้ทั้งหมด พระบิดาเมื่อเห็นว่าไม่ได้ผล จึงรับสั่งให้หัวหน้าแม่ชี นำองค์หญิงเมี่ยวซ่านไปอยู่ที่วัดนกยูงขาว และให้เอางานของแม่ชีทั้งวัดมอบให้องค์หญิงทำคนเดียว แต่องค์หญิงมีพระทัยเด็ดเดี่ยวไม่เกี่ยงงานการต่างๆ เหล่าเทพารักษ์ก็มาช่วยทำแทนให้อีก พระเจ้าเมี่ยวจวงเข้าพระทัยว่า พวกแม่ชีไม่กล้าเคี่ยวเข็ญใช้งานหนัก ก็ยิ่งทรงกริ้วหนักขึ้น สั่งให้ทหารเผาวัดนกยูงขาวจนวอดเป็นจุณไป พร้อมกับพวกแม่ชีทั้งวัด มีแต่เจ้าหญิงเมี่ยวซ่านเท่านั้นที่ปลอดภัยรอดชีวิตมาได้
พระเจ้าเมี่ยวจวงทรงทราบดังนั้น จึงรับสั่งให้นำตัวราชธิดาไปประหารชีวิต แต่เทพารักษ์ที่คอยคุ้มครองเจ้าหญิงอยู่ ได้เนรมิตทองทิพย์เป็นเกราะห่อหุ้มตัว คมดาบของนายทหารจึงไม่อาจระคายพระวรกาย ดาบหักถึง 3 ครั้ง 3 ครา พระบิดาทรงกริ้วยิ่งนัก โดยเข้าพระทัยว่านายทหารไม่กล้าประหารจริง จึงให้ประหารนายทหารแทน แล้วรับสั่งให้จับเจ้าหญิงไปแขวนคอ ทว่าผ้าแพรที่แขวนคอก็ขาดสะบั้นลงอีก
ทันใดนั้นปรากฏมีเสือเทวดาตัวหนึ่งได้นำเจ้าหญิงขึ้นพาดหลังแล้วเผ่นหนีไปที่เขาเซียงซัน ต่อมา เทพไท่ไป๋ได้แปลงร่างเป็นชายชรามาโปรดเจ้าหญิง ชี้แนะเคล็ดวิธีบำเพ็ญเพียรเพื่อการดับทุกข์ จนบรรลุสัมโพธิญาณรู้แจ้งในสัจจะธรรมในวันที่ ๑๙ เดือน ๖ ข้างฝ่ายพระบิดาเข้าพระทัยว่า เจ้าหญิงถูกเสือคาบไปกินเสียแล้ว จึงไม่ได้ติดใจตามราวีอีก
ต่อมาไม่นานบาปกรรมที่พระองค์ก่อไว้ส่งผล เกิดป่วยด้วยโรคร้ายแรง ไม่มียาอะไรรักษาให้หายได้ เจ้าหญิงเมี่ยวซ่านทราบด้วยญาณว่าพระบิดาป่วยด้วยผลแห่งกรรมที่ทำมาและเห็นหนทางที่จะนำพระบิดาให้ก้าวพ้นทุกข์ได้ ด้วยความกตัญญูกตเวทีเป็นเลิศ มิได้ถือโทษโกรธเคืองในการกระทำของพระบิดาแม้แต่น้อย จึงได้ให้หลวงจีนซันไฉ่ ไปอาสารักษาโรคโดยสละดวงตาและแขนทั้งสองข้างของตนเพื่อปรุงยา เมื่อกษัตริย์เมี่ยวจวงได้หายจากโรคจึงเริ่มสำนึกใน บาปกรรมที่ตนได้ทำไว้เลิกทำบาปหันมา สร้างกุศลต่อมาได้สละราชสมบัติดั้นด้น เดินทางมาหาเซียนผู้เสียสละดวงตาและ แขนเพื่อปรุงยาโดยไม่รู้ว่าเซียนผู้นั้นคือใคร เมื่อรู้ว่าเซียนผู้ที่อุทิศแขนและดวงตามารักษาตนนั้นคือเจ้าหญิงเมี่ยวซัน ธิดาที่ตนสั่งประหารชีวิตก็สะเทือนใจ
         ว่ากันว่า ภายหลังสำเร็จอรหันต์ ได้ดวงตาและพระกรคืนมาดังเดิม เคยแสดงปาฏิหารย์เป็นปาง กวนอิมพันมือ องค์หญิงเมี่ยวซ่านนั้น ตอนแรกเป็นชาวพุทธ ตอนหลังเทพไท่ไป๋ได้มาโปรด ชี้แนะหนทางดับทุกข์ เหตุนี้พระโพธิสัตว์กวนอิมจึงเป็นเทพทั้งฝ่ายพุทธและฝ่ายเต๋าในเวลาเดียวกันเป็นพระโพธิสัตว์กวนอิม พระผู้ช่วยให้สัตว์รอดพ้นความทุกข์เดือดร้อน เป็นผู้ได้ปริเวทนาแห่งสัตว์โลก (อวโลกิเตศวร) และเป็นที่เคารพสืบต่อกันมา จนตราบเท่าทุกวันนี้ 

ชาวจีนมีความเชื่อว่าพระโพธิสัตว์กวนอิม สถิตย์ ณ เกาะผู่โถวซาน (聖汕頭島) มณฑลเจ้อเจียงและปฏิบัติธรรม ณ ที่นั่น (ปัจจุบันมีรูปปั้นองค์ใหญ่เป็นเจ้าแม่กวนอิมปางทรงธรรมจักรในพระหัตถ์ซ้าย ส่วนพระหัตถ์ขวาทำพระกิริยาห้าม มองไปที่ทะเลใต้ เรียกว่า หนานไห่กวนอิม(南海關)) และมีอัครสาวกยืนขนาบกัน นั่นก็คือ พระสุธนกุมาร และธิดาพญามังกร
นอกจากนี้ ชาวจีนมีเคล็ดความเชื่อสำหรับผู้ที่เคารพกราบไหว้บูชาเจ้าแม่กวนอิม ว่าผู้ใดนับถือเจ้าแม่กวนอิม ก็จะไม่สามารถรับประทานเนื้อสัตว์ประเภทเนื้อว้วและควาย และเชื่อกันว่า ถ้าผุ้ใดกัดกินเนื้อวัวควายเข้าไปแม้แต่คำเดียว อาจหมายถึงกินพระเจ้าเมี่ยวจวงโดยแท้แล.
ที่มา: วิกิพีเดีย

พระคาถายันทุนเก้าชั้น


๑.  ยันทุนนิมิตตัง อะวะมังคะลัญจะ โย “ อาทิตย์ ทะโสโร ราหุจันโท 
   ราหูราลักขะณา ปาปัคคะโห ทุสสุปินัง อะกันตัง พุทธานุภาเวนะ วินาสะเมนตุ

๒.  ยันทุนนิมิตตัง อะวะมังคะลัญจะ โย “ จันทร์ ทะโสโร ราหุจันโท 
   ราหูราลักขะณา ปาปัคคะโห ทุสสุปินัง อะกันตัง ธัมมานุภาเวนะ วินาสะเมนตุ

๓.  ยันทุนนิมิตตัง อะวะมังคะลัญจะ โย “ อังคาร ทะโสโร ราหุจันโท 
   ราหูราลักขะณา ปาปัคคะโห ทุสสุปินัง อะกันตัง สังฆานุภาเวนะ วินาสะเมนตุ

๔. ยันทุนนิมิตตัง อะวะมังคะลัญจะ โย “ พุธ ทะโสโร ราหุจันโท 
   ราหูราลักขะณา ปาปัคคะโห ทุสสุปินัง อะกันตัง พุทธานุภาเวนะ วินาสะเมนตุ

๕. ยันทุนนิมิตตัง อะวะมังคะลัญจะ โย “ เสาร์ ทะโสโร ราหุจันโท 
   ราหูราลักขะณา ปาปัคคะโห ทุสสุปินัง อะกันตัง ธัมมานุภาเวนะ วินาสะเมนตุ

๖.  ยันทุนนิมิตตัง อะวะมังคะลัญจะ โย “ พฤหัส ทะโสโร ราหุจันโท 
   ราหูราลักขะณา ปาปัคคะโห ทุสสุปินัง อะกันตัง สังฆานุภาเวนะ วินาสะเมนตุ

๗. ยันทุนนิมิตตัง อะวะมังคะลัญจะ โย “ ราหู ทะโสโร ราหุจันโท 
   ราหูราลักขะณา ปาปัคคะโห ทุสสุปินัง อะกันตัง พุทธานุภาเวนะ วินาสะเมนตุ

๘. ยันทุนนิมิตตัง อะวะมังคะลัญจะ โย “ ศุกร์ ทะโสโร ราหุจันโท 
   ราหูราลักขะณา ปาปัคคะโห ทุสสุปินัง อะกันตัง ธัมมานุภาเวนะ วินาสะเมนตุ

๙.  ยันทุนนิมิตตัง อะวะมังคะลัญจะ โย “ เกตุ ทะโสโร ราหุจันโท 
   ราหูราลักขะณา ปาปัคคะโห ทุสสุปินัง อะกันตัง สังฆานุภาเวนะ วินาสะเมนตุ

          อานุภาพดาวนพเคราะห์นั้น สามารถคุ้มครองเราให้พันจากการเคราะห์ร้ายให้
กลายเป็นดี หรือผ่อนหนักให้เป็นเบา ทำให้ศัตรูกลายเป็นมิตร ทำให้คนที่เกลียดชัง
เรากลายเป็นรักใคร่ หรือเมื่อพระราหูเข้าเสวยอายุ ดาวอื่นๆอีก ๗-๘ ดวงที่เป็นมิตร
กันอยู่นั้น ก็จะช่วยป้องกันมิให้ราหูมาทำอันตรายแก่เราได้ 
         ชีวิตของมนุษย์ทุกคนในโลกนี้ ย่อมเกี่ยวสัมพันธ์อยู่ในอำนาจของดวงดาว
ทั้ง ๙ ดวง ถ้าเราสวดมนต์จำเริญพระคุณนพเคราะห์เป็นประจำแล้ว เราจะมีอายุยืน
ยาวนาน มนต์คาถานั้นชื่อ “ยันทุน ๙ ชั้น" แล ฯ
    คาถายันทุน ๙ ชั้นนี้ เป็นของเก่าซึ่ง พ.ต.ล้วน สิงห์ทัต คัดลอกจากตำรา
สมุดข่อยเก่าที่ชำรุด และท่านได้ปฏิบัติมาเป็นเวลา ๔๐ ปีเศษ ท่านบอกว่า
ได้รับความสุขสบายตลอดมา...

ที่มา หนังสือพระพุทธมนต์คาถา /๕ ธ.ค. ๒๕๓๘

วันพฤหัสบดีที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ลอยกระทง

                              
                               วันเพ็ญเดือนสิบสองน้ำนองตลิ่ง
                               ดูงามยิ่งจันทร์เพ็ญเด่นกลางหาว
                               แสงสีนวลส่องหล้าฟ้าสุกสะกาว
                               เด่นเดือนพราวราวทิวามาให้ยล
                                                  กระทงน้อยลอยวนบนผิวน้ำ
                                                  ประหลาดล้ำด้วยบุญชี้มีกุศล
                                                  อธิษฐานด้วยตั้งใจให้จงดล
                                                  ประสบผลสิ่งหวังดั่งใจปอง
                               แสนสนุกสุขใจกายหายเศร้าทุกข์
                               มีแต่สุขคราร่วมกันวันฉลอง
                               น้ำไหลมาเชี่ยวกรากหลากเนืองนอง
                               ชนทั้งผองร่วมใจรักสามัคคี
                                                   แม่คงคา...ลูกนี้ขอกราบไหว้
                                                   ด้วยดวงใจระลึกคุณเพิ่มพูนศรี
                                                   แม่ประทานความเย็นชื่นฉ่ำชีวี
                                                   เลี้ยงชีพนี้เนิ่นนานกาลผ่านมา
                               ครบรอบปีขอขมาลาโทษแม่
                               ล้วนเซ็งแซ่สำนึกมั่นโดยหรรษา
                               ด้วยความรักของแม่แผ่เมตตา
                               ชนทั่วหน้าเปี่ยมสุขทุกคืนวัน

                                                                            " ทรัพย์กวี "                       

วันศุกร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2555

พระคาถาอาการะวัตตาสูตร


                                อานิสงส์พระอาการวัตตาสูตร
       พระอาการวัตตาสูตรนี้ ผู้ใดที่ท่องได้ ใช้สวดมนต์ปฏิบัติได้เสมอ มีอานิสงค์มากยิ่งนักหนา แม้จะปรารถนาพระพุทธภูมิ พระปัจเจกภูมิ มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ นิพพานสมบัติ   ก็ส่งผลให้ได้สำเร็จสมปรารถนาทั้งนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้เป็นพระพุทธเจ้ามีปัญญามาก เพราะเจริญพุทธมนต์บทนี้ ถ้าผู้ใดปฏิบัติได้ เจริญได้ทุกๆวัน จะเห็นผลความสุขเกิดขึ้นเอง ไม่ต้องมีผู้อื่นบอกอานิสงส์ ผู้ที่เจริญพระสูตรนี้ครั้งหนึ่งจะคุ้มครองภัยอันตราย ๓๐ ประการได้ ๔ เดือน    
      ผู้ใดเจริญพระสูตรนี้อยู่เป็นนิจ บาปกรรมทั้งปวงก็จะไม่ได้ช่องหยั่งลงสู่สันดาน เว้นแต่กรรมเก่าตามมาทันเท่านั้น ผู้ใดอุตสาหะตั้งใจเล่าเรียน ได้ใช้สวดมนต์ก็ดี บอกเล่าผู้อื่นให้เลื่อมใสก็ดี เขียนเองก็ดี กระทำสักการะบูชาเค่ารพนับถือพร้อมทั้งไตรทวารก็ดี ผู้นั้นจะปรารถนาสิ่งใดก็จะสำเร็จทุกประการ ท่านผู้มีปรีชาศรัทธาเลื่อมใส จงกระทำซึ่งอาการวัตตาสูตร อันจะเป็นที่พักผ่อนพึ่งพาอาศัยในวัฏฏะกันดาร ดุจเกาะแลฝั่งเป็นที่อาศัยแห่งชนทั้งหลายผู้สัญจรมาในชลสาครสมุทรทะเลใหญ่
      ฉะนั้น อาการวัตตาสูตร พระพุทธเจ้า ๒๘ พระองค์ที่ปรินิพพานไปแล้วก็ดี ทรงเจริญรอยตามสูตรนี้มาแล้วทุกๆพระองค์ จึงมีคุณานุภาพยิ่งใหญ่กว่าสูตรอื่น ไม่มีธรรมอื่นจะเปรียบให้เท่าถึง เป็นธรรมอันระงับได้โดยแท้ ในอนาคตกาล ถ้าบุคคลใดทำปาณาติบาตคือปลงชีวิตสัตว์ให้ตกลงไป เป็นวัชชกรรมที่ชักนำให้ปฏิสนธิในนรกใหญ่ทั้ง ๘ ขุม อบายภูมิทั้ง ๔ ถ้าได้ท่องบ่นจำจนคล่องปากก็จะปิดบังห้ามกันไว้ไม่ให้ไปสู่ทุคติกำเนิดก่อนโดยกาลนาน ๙๐ แสนกัลป์ ผู้นั้นระลึกตามเนืองๆ ก็จะสำเร็จไตรวิชชาและอภิญญา ๖ ประการ ยังทิพย์จักษุญาณให้บริสุทธิ์ดุจองค์มเหสักกเทวราช
       มีการรีบร้อนออกจากบ้านไปจะไม่อดอาหารในระหว่างทางที่ผ่าน จะเป็นที่พึ่งอาศัยแห่งชนทั้งหลายในเรื่องเสบียงอาหาร ภัยอันตราย ศัตรูหมู่ปัจจามิตรไม่อาจจะมาครอบงำย่ำยีได้ นี้เป็นทิฏฐธรรมเวทนียานิสงส์ปัจจุบันทันตา ในสัมปรายิกานิสงส์ที่เกื้อหนุนในภพเบื้องหน้านั้นแสดงว่า ผู้ใดได้พระสูตรนี้เมื่อสืบขันธะประวัติในภพเบื้องหน้า จะบริบูรณ์ด้วยโภคสมบัติ หิรัญรัตนมณีเหลือล้นขนขึ้นรักษาไว้ที่เรือนและที่คลังเป็นต้น ประกอบด้วยเครื่องอลังการวิภูษิตพรรณต่างๆ ทั้งจะมีฉวีวรรณผ่องใสบริสุทธิ์ดุจทองธรรมชาติ มีจักษุประสาทรุ่งเรืองงามไม่วิปริต แลเห็นทั่วทิศซึ่งสรรพรูปทั้งปวง และจะได้เป็นพระอินทร์ปิ่นพิภพดาวดึงส์อยู่ ๓๖ กัลป์โดยประมาณ และจะได้เป็นบรมจักรพรรดิราชผู้เป็นอิสระในทวีปใหญ่ ๔ มีทวีปน้อย ๒,๐๐๐ เป็นบริวารนานถึง ๓๖ กัลป์ จะถึงพร้อมด้วยปราสาทอันแล้วไปด้วยทองควรจะปรีดา บริบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ เป็นของเกิดสำหรับบุญแห่งจักรพรรดิราช จะตั้งอยู่ในสุขสมบัติโดยกำหนดกาลนาน ยังเวียนว่ายอยู่ในวัฏฏสงสาร อานิสงส์คงอภิบาลตามประคองไปให้มีปัญญาเฉียบแหลมว่องไวสุขุมละเอียดลึกซึ้ง อาจรู้ทั่วถึงอรรถธรรมด้วยกำลังปรีชาญาณ อวสานที่สุดชาติก็จะได้บรรลุพระนิพพาน
       อนึ่ง ถ้ายังไม่ถึงพระนิพพาน ก็จะไม่บังเกิดในอบายภูมิทั้ง๔ มีนรก เปรต อสุรกาย ดิรัจฉานกำเนิดและมหานรกใหญ่ทั้ง ๘ ขุม ช้านานถึง ๙๐ แสนกัลป์ จะไม่ไปเกิดในตระกูลหญิงจัณฑาลเข็ญใจ จะไม่บังเกิดเป็นบัณเฑาะก์เป็นกระเทยที่เป็นอภัพพบุคคล
       บุคคลผู้นั้นเกิดในภพใดๆ จะมีอวัยวะน้อยใหญ่บริบูรณ์ จะมีรูปทรงสัณฐานงามดีดุจทองธรรมชาติเป็นที่เลื่อมใสแก่มหาชน ผู้ใดได้ทัศนาไม่เบื่อหน่าย จะเป็นผู้มีอายุคงทนจนถึงอายุขัยจึงจะตาย เป็นคนที่ศีลศรัทธาธิคุณบริบูรณ์ในการบริจาคทานไม่เบื่อหน่าย จะเป็นคนไม่มีโรคาพยาธิเบียดเบียน สรรพอันตราย ความจัญไร ภัยพิบัติ สรรพอาพาธ ที่บังเกิดเบียดเบียนกาย ก็จะสงบระงับดับคลายลงด้วยคุณานุสงส์ผลที่ได้สวดมนต์ได้สดับฟังพระสูตรนี้ด้วยประสาทจิตผ่องใส เวลามรณะสมัยใกล้จะตายจะไม่หลงสติ จะดำรงไว้ในทางสุคติเสวยสุขสมบัติตามใจประสงค์ นรชนผู้ใดเห็นตามโดยชอบซึ่งพระสูตรอันเจือปนด้วยพระวินัย ธรรมปรมัตถ์ มีนามบัญญัติชื่อว่าอาการวัตตาสูตร
        พุทธบริษัททั้งหลายเลื่อมใสในพุทธบารมีเจริญพระพุทธคุณอันมีบุญประมาณมิได้แล้ว ปฏิบัติในพุทธธรรมว่า”การไม่ทำบาปทั้งปวง การทำกุศลให้ถึงพร้อม การชำระจิตของตนให้ขาวรอบ ธรรมสามอย่างนี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย” ก็จะพ้นทุกข์ภัย อบายภูมิได้จริง มีแต่ความสุขความเจริญทั้งโลกและธรรม โดยพุทธบารมีพระพุทธธรรมตามรักษาทั้งภายในและภายนอก เป็นกรรมอันผ่องแผ้วในไตรทวารด้วยประการฉะนี้

                                       พระคาถาอาการวัตตาสูตร
           เอวัมเม สุตัง เอกัง สะมะยัง ภะคะวา ราชะคะเห วิหะระติ คิชฌกูเฏ
ปัพพะเต เตนะ โข ปะณะ สะมะเยนะ สัพพะสัตตานัง พุทธะคุโณ ธัมมะคุโณ
สังฆะคุโณ อายัส์มา อานันโท อะนุรุทโธ สารีปุตโต โมคคัลลาโน มะหิทธิโก
มะหานุภาเวนะ สัตตานัง เอตะทะโวจะ
อิติปิโสภะคะวา อะระหัง
อิติปิโสภะคะวา สัมมาสัมพุทโธ
อิติปิโสภะคะวา วิชชาจะระณะสัมปันโน
อิติปิโสภะคะวา สุคะโต
อิติปิโสภะคะวา โลกะวิทู
อิติปิโสภะคะวา อะนุตตะโรปุริสะธัมมะสาระถิ
อิติปิโสภะคะวา สัตถาเทวะมะนุสสานัง
อิติปิโสภะคะวา พุทโธ
อิติปิโสภะคะวา ภะคะวาติ

วันพฤหัสบดีที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2555

พระคุณที่สาม

          วันนี้ได้ไปเจอกระดาษสีเขียวซีดจางจนออกเหลืองอยู่แผ่นหนึ่ง ในกองเอกสารที่เก็บไว้นานมากร่วม20 ปี เมื่ออ่านดูจึงรู้ว่าเป็นเพลง"พระคุณที่สาม" ทำให้ย้อนคิดไปถึงอดีตเมื่อครั้งวัยเยาว์ ได้ฟังบทเพลงนี้ครั้งแรกแล้วรู้สึกได้ถึงความไพเราะของท่วงทำนองและความหมายที่ลึกซึ้งกินใจที่สุด ของคำว่า " ครู " ผมจึงขอนำเพลงนี้มาเผยแพร่ เพื่อเป็นการรำลึกถึงและเทิดทูนบูชาพระคุณของครูทุกๆท่าน ที่สั่งสอนมาจนทำให้ผมมีวันนี้ กราบขอบพระคุณคุณครู...ที่เคารพอย่างสูงครับ


                                                                เพลงพระคุณที่สาม
                            ครูบาอาจารย์ที่ท่านประทานความรู้มาให้
                            อมรมจิตใจให้รู้ผิดชอบชั่วดี
                            ก่อนจะนอนสวดมนต์อ้อนวอนทุกที
                            ขอกุศลบุญบารมีส่งเสริมครูนี้ให้ร่มเย็น
                            ครูมีบุญคุณจึงขอเทิดทูนเอาไว้เหนือเกล้า
                            ท่านสั่งสอนเรา อมรมให้เราไม่เว้น
                            ท่านอุทิศไม่คิดถึงความยากเย็น
                            สอนจนรู้จัดเจนเฝ้าเน้นเฝ้าแนะมิได้อำพราง
                            พระคุณที่สามงดงามแจ่มใส
                            แต่ว่าใครหนอใครเปรียบเปรยครูไว้ว่าเป็นเรือจ้าง
                            พลาดจากความจริงยิ่งคิดยิ่งเห็นว่าผิดทาง
                            มีใครไหนบ้างแนะนำแนวทางอย่างครู
                            บุญเคยทำมาแต่ปางใดๆเรายกให้ท่าน
                            ตั้งใจกราบกรานระลึกคุณท่านกตัญญู
                            โรคและภัยอย่ามาแผ้วพานคุณครู
                            ขอกุศลผลบุญค้ำชูให้ครูเป็นสุขชั่วนิรันดร.....
                                                ....ให้ครูเป็นสุขชั่วนิรันดร* ร้องซ้ำ*

วันพุธที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ไหว้พระ 5 มหาบูชาสถาน


 วันนี้ขอนำท่านไปเที่ยวพม่า หรือสหภาพเมียนมาร์ ซึ่งถือเป็นเพชรเม็ดงามแห่งเอเชียที่นักท่องเที่ยวต่างชื่นชมความงามแบบธรรมชาติและศิลปะวัฒนธรรมที่งดงามถวิลหาและอยากจะเข้าไปค้นหาสัมผัสดินแดนมหัศจรรย์แห่งเจดีย์ทองคำและพลังศรัทธาที่มั่นคงในพุทธศาสนา ชาวพม่าทุกคนมีความตั้งใจว่าเกิดมาในชาตินี้ก็ขอให้ได้นมัสการ 5 มหาบูชาสถาน สิ่งศักดิ์สิทธิ์อันสูงสุด จึงขอแบ่งปันเรื่องราวที่เป็นมงคลกับชีวิตเกี่ยวกับ 5 มหาบูชาสถาน โดยมีรายละเอียด ดังนี้


. พระมหาเจดีย์ชเวดากอง เมืองย่างกุ้ง
          พระมหาเจดีย์ชเวดากอง หรือเจดีย์แห่งเมืองดากองหรือตะเกิง เป็นศาสนสถานและสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของชาวพม่า ตั้งอยู่บริเวณเนินเขาเชียงกุตระ เมืองย่างกุ้ง ประเทศพม่า มีความสูง
99 เมตร(326 ฟุต) ภายในองค์พระมหาเจดีย์บรรจุพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้าจำนวน 8 เส้น โดยความหมายว่า ชเว แปลว่า ทอง, ดากอง เป็นชื่อเดิมของเมืองย่างกุ้ง แปลรวมว่า ทองแห่งเมืองดากอง 
          ตามประวัติกว่า 2,500 ปีที่แล้ว ในตำนานเล่าว่า ได้มีพ่อค้าชาวมอญ 2 พี่น้อง ชื่อว่า ตปุสสะ และ ภัลลิกะ ได้เดินทางไปค้าขายยังประเทศอินเดีย มีโอกาสได้ถวายข้าวสัตตูผงแก่พระพุทธเจ้าและถวายตัวเป็นปฐมอุบาสกในพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าได้ประทานพระเกศาให้ 8 เส้นเพื่อนำกลับไปบูชาในดินแดนบ้านเกิด เมื่อเดินทางถึงพระเจ้าโอกะลาปะได้ทรงประกอบพิธีต้อนรับพระเกศธาตุอย่างยิ่งใหญ่ ทรงสร้างเจดีย์ที่มีความสูง 20 เมตร(66 ฟุต)บนเนินเขาตะเกิง บรรจุพระเกศาธาตุไว้ให้ประชาชนเคารพกราบไหว้
          ด้วยกาลเวลาที่ยาวนาน องค์พระเจดีย์ได้ถูกบูรณะซ่อมแซมหลายครั้ง และในยุคสมัยของกษัตริย์มอญและพม่าทุกพระองค์ ได้ถือเป็นพระราชกิจสำคัญในการก่อสร้างทำนุบำรุงพระเจดีย์แห่งนี้ จนมีความสูงเท่าปัจจุบัน ในปีพ.ศ.
1996 สมัยพระนางชินสอบู กษัตรีย์ของมอญได้เริ่มธรรมเนียมถวายทองคำ เท่าน้ำหนักพระองค์คือ 40 ก.ก.เพื่อการบูรณะเจดีย์ จนกลายเป็นประเพณีที่กษัตริย์ทุกพระองค์ทรงสืบทอดกันมา ปัจจุบันมีน้ำหนักทองคำร่วม 2 ตัน ส่วนบนสุดที่เป็นยอดฉัตร ได้รับการบูรณะจากเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ปี 2311 รัชสมัยพระเจ้าฉินบูชิน ทรงจัดสร้างยอดฉัตรใหม่ตามแบบพม่าแทนแบบเดิมที่เป็นมอญ ประดับด้วยอัญมณีมีค่ามากมายและระฆังทอง เงิน ทองแดง 600 ใบ
           ต่อมาเกิดแผ่นดินไหวทำให้ยอดฉัตรหักตกลงมา จึงมีการบูรณะครั้งที่ 2 ในสมัยพระเจ้ามินดง พ.ศ. 2414 (ร่วมสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า รัชกาลที่ 5) โดยทรงบริจาคพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เพื่อสร้างฉัตรใหม่ ประดับด้วยเพชรพลอยอัญมณีล้ำค่า คิดเป็นมูลค่า 62,000 ปอนด์ในสมัยนั้น โดยเฉพาะยอดเจดีย์ประดับด้วยเพชรเม็ดใหญ่น้ำหนัก 76.6 กะรัต และที่ขอบฉัตรประดับระฆังใบเล็กถึง 5,000 ใบ ครั้งล่าสุดในปี พ.ศ 2542 พุทธศาสนิกชนชาวมอญ-พม่า พร้อมใจกันเปลียนสุวรรณฉัตรองค์ใหม่ ดังที่เห็นอยู่ในปัจจุบันนี้
          รอบๆองค์พระเจดีย์ชเวดากอง เป็นลานกว้างรองรับแรงศรัทธาพุทธศาสนิกชนได้จำนวนมาก ลานกว้างด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ จะมีลานอธิษฐานสมปรารถนา(เป็นกระเบื้องรูปดาว)ที่ชาวพม่าเชื่อกันว่าถ้าได้มานั่งอธิษฐานขอสิ่งใดก็จะสมปรารถนา มีเจดีย์องค์เล็กรายล้อมเจดีย์และวิหารโถงทั้งสี่ทิศที่มีพระพุทธรูปหินอ่อนแกะสลักงดงามอ่อนช้อยด้วยศิลปะมอญ-พม่าให้สวดมนต์หรือกราบไหว้ขอพร นอก จากนั้นบริเวณลานรอบองค์พระเจดีย์ทั้ง 8 ทิศยังมีจุดให้บูชาเทวดาประจำดาวนพเคราะห์ทั้ง 8 โดยจะมีหลักป้ายบอกวันและกำลังวัน มีพระพุทธรูป รูปปั้นเทวดาและสัตว์สัญลักษณ์ ดังนี้
วันอาทิตย์         ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ สัตว์สัญลักษณ์  ครุฑ        สรงน้ำ     ขัน
วันจันทร์           ทิศตะวันออก                 ..... ,, .....     เสือ            ,,    ๑๕  ขัน
วันอังคาร          ทิศตะวันออกเฉียงใต้       ..... ,, .....     สิงห์           ,,        ขัน
วันพุธ(กลางวัน) ทิศใต้                           .....,, .....      ช้างมีงา      ,,    ๑๗  ขัน
วันพุธ(กลางคืน) ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ      .... ,, ....       ช้างไม่มีงา  ,,    ๑๒  ขัน
วันพฤหัสบดี      ทิศตะวันตก                    .... ,, ....       หนูหางยาว  ,,    ๑๙  ขัน
วันศุกร์             ทิศเหนือ                        .... ,, ....      หนูหางสั้น    ,,    ๒๑  ขัน
วันเสาร์            ทิศตะวันตกเฉียงใต้           .... ,, ....      พญานาค     ,,    ๑๐  ขัน
การขึ้นชมพระเจดีย์ชเวดากองได้สะดวกด้วยลิฟต์ ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเจดีย์และ เวลาที่เหมาะสม คือ ช่วงเย็นตั้งแต่ 16.00 น.จนถึง 22.00 น.เพราะจะได้ 2 บรรยากาศในการเที่ยวชมคือท้องฟ้าสดใส และแสงไฟสว่างไสว กระทบองค์พระเจดีย์เป็นสีทองสุกปลั่งพาใจให้เลื่อมใสศรัทธาและเพลิดเพลินชมความงดงามขององค์พระเจดีย์อย่างไม่รู้เบื่อ