ตีลัญจกร คือ
การกด รัด ทับ เชื่อม ตรงจุดต่างๆ ในมือเราให้เกิดเป็นรูปลักษณ์ใดรูปลักษณ์หนึ่ง
หรือที่เราเรียกว่า แผงวงจรอิเลกทรอนิคในร่างกาย ให้เป็นเสาอากาศรับคลื่นจากพลังธรรมชาติเข้าสู่ร่างกาย
การกินน้ำ กินอาหาร ล้วนแล้วแปรเปลี่ยนไปเป็นพลังชีวิต หรือที่เราเรียกว่า
พลังชี่ พลังคอสมิก พลังจักรวาล ฯลฯ
วิชานี้ศาสตร์การแพทย์แผนจีน
เรียกว่า เทียน ฝ่อ เจิ้น คือ หัตถ์พุทธองค์ ศาสตร์นี้สามารถทำด้วยตัวเองไม่ต้องใช้อุปกรณ์เสริมทำได้ทุกที่ทุกเวลา
จะมีการสอนหัตถ์พุทธองค์ในวิชามนตราบำบัด ที่วัดโจคัง ประเทศทิเบต นั่นคือ ตีลัญจกรซึ่งเป็นศาสตร์หนึ่ง ในวิชามนตราบำบัด มนต์ทั้งหลายในโลกนี้ แบ่งเป็น 3
อย่าง คือ
1.
มนตรา ได้แก่ อสัมวิสุโร ปุสาภุพะ
ต้องสวดไม่ใช่ฟัง สวดเสร็จ ต้องขอคือการสั่งจิตใต้สำนึก สวดมนตราต้องใช้สติ
สวดยากและสวดให้ได้108 คาบ ห้ามนับลูกประคำ
จะทำให้คลื่นสมองลดจากเบต้าเป็นอัลฟาและสั่งจิต เช่น
สั่งให้น้ำตาลในเลือดลดลงในผู้ป่วยเบาหวาน
2. มนต์คาถา ได้แก่
อิติปิโส ภควาฯ ถ้ารักษาโรคต้องฟังไม่ใช่สวด หัวใจ คือ ผู้สวดต้องมีพลังผู้ฟังต้องพนมมือรับสวดเสร็จผู้สวดต้องแผ่เมตตา
ผู้ฟังจึงจะหายจากโรคภัยไข้เจ็บ
3. เวทมนต์ คือ
ได้แก่ อิติปิโส ภควาฯ จากขวาไปซ้ายหรือสวดจากล่างขึ้นบน
สมัยก่อนวัดเป็นสถาบันรักษาโรค
ศาสนาป้องกันโรคภัยไข้เจ็บได้ คำสอนคือศีล
ศีล 5
คืออุบายการรักษาโรค
ศีลข้อ 1. ห้ามฆ่าสัตว์ เพราะทำให้เกิดการโมโห โมเลกุลของตนเรียงตัวไม่เป็นระเบียบ
ศีลข้อ 2. ห้ามลักทรัพย์ เพราะมีผลกระทบต่อปอด หายใจแรงขึ้นเมื่อจะลักทรัพย์
ศีลข้อ 3. ไม่ประพฤติผิดในกาม การเคารพผู้อื่นทำให้หัวใจแข็งแรง แต่การผิดลูกเมียผู้อื่น
ถือว่าไม่เคารพผู้อื่น
ศีลข้อ 4. ห้ามพูดปด จะทำให้มีปัญหาเรื่องม้ามและกระเพาะ
ศีลข้อ 5 ห้ามดื่มเครื่องดองของเมา การดื่มของมึนเมาทำให้ขาดสติ ถ้าสติสัมปะชัญญะไม่ดี
ไตก็จะมีปัญหา(ไตควบคุมสติสัมปชัญญะ)
คนจีนแบ่งพลังงานเป็น 2 รูปแบบ
1.
อู่ฉี่หรือบ๊อเก๊ก นั่นคือพลังงานที่มองไม่เห็นรูป
ทางวิทยาศาสตร์ เรียกว่า ควาร์ก (quark) เป็นพลังงานที่เล็กกว่าอิเลคตรอนหรือรวมเรียกว่า
คลาวมตั้มนั่นเอง สมัยก่อนใช้สัญลักษณ์ สี่เหลี่ยม สามเหลี่ยม วงกลม
แทนพลังงานต่างๆ เหล่านี้
2.
ไทจี๋ คือ พลังงานเห็นรูป นั่นก็คือ หยินกับหยาง
หรือขั้วบวกขั้วลบ
ในร่างกายของเราต้องการพลังงานไร้รูปนี้ มาทำให้เป็นระเบียบเวลานอนหลับ
พลังงานต่างๆ เหล่านี้จะเข้ามาเหนี่ยวนำโมเลกุลที่วางตัวไม่เป็นระเบียบให้เป็นระเบียบ
เช่น โมโหมาก โมเลกุลของตับเรียงตัวไม่เป็นระเบียบและถ้าวิตกกังวลด้วย
โมเลกุลของม้ามของกระเพาะเรียงตัวไม่เป็นระเบียบ ตกใจกลัว ทำให้ไตมีปัญหา ธาตุในน้ำมีปัญหา, ถ้าโกรธรีบร้อน
ธาตุไม้มีปัญหา, รีบเร่งดีใจเกินเหตุเป็นธาตุไฟ, ขี้น้อยใจเสียใจเป็นธาตุทองเกี่ยวกับปอดลำไส้ใหญ่
ในชีวิตประจำวันทำให้โมเลกุลของร่างกายไม่เป็นระเบียบ
การนอนหลับจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ทำให้สนามพลังงานจากธรรมชาติที่เรามองไม่เห็นเข้าสู่สมองตรงกระหม่อมออกที่ปลายเท้าและที่มือ
และเหนี่ยวนำให้สารโมเลกุลของร่างกายเรียงตัวเป็นระเบียบ
มีการบันทึกจากการแพทย์แผนจีนว่า
-
หัวใจและลำไส้เล็ก ได้รับอิทธิพล แรงเหนี่ยวนำสนามแม่เหล็ก
ในระดับที่มีรูปหรือเรียกว่าไทจี๋ จากดาวอังคาร
- กระเพาะ,
ม้าม ได้รับอิทธิพลแรงสั่นสะเทือน จากดาวเสาร์
คนจีนแยกเป็นธาตุดินในร่างกาย
ถ้าธาตุดินมีปัญหา จะทำให้วิตกกังวล
และมีนิสัยชอบกินของหวาน
- ตับ ถุงน้ำดี
ได้รับแรงอิทธิพลแรงสั่นสะเทือนจากดาวพฤหัส
ทำหน้าที่ระบบนิเวศน์ธาตุไม้ในร่างกาย หรือคนไทยเรียกว่า ธาตุลมนั่นเอง
ถ้าธาตุลมมีปัญหาจะขี้โมโหและชอบกินเปรี้ยว
- ปอด ลำไส้ใหญ่
ได้รับอิทธิพลแรงสั่นสะเทือนจากดาวศุกร์ เป็นธาตุน้ำ เป็นคนขี้น้อยใจ เสียใจ
ชอบกินเผ็ด
- ไต กระเพาะปัสสาวะ ได้รับอิทธิพลแรงสั่นฯ จากดาวพุธ เป็นธาตุน้ำ
เป็นคนขี้ตกใจกลัว ขี้กลัว ชอบกินเค็ม
- หัวใจ ลำไส้เล็ก ได้รับแรงอิทธิพลแรงสั่นสะเทือนจากดาวอังคาร
เป็นธาตุไฟ เป็นคนใจร้อน ชอบกินขม
การตีลัญจกร จะช่วยการแก้ปัญหาสิ่งเหล่านี้
โดย มือ 2
ข้าง มีเส้นลมปราณอยู่ 6 เส้น
เส้นที่ 1 หลังมือ
ลำไส้ใหญ่
เส้นที่ 2 นิ้วนาง
ระบบภูมิต้านทานโรค
เส้นที่ 3 นิ้วก้อยด้านนอก
ลำไส้เล็ก
เส้นที่ 4 นิ้วหัวแม่มือ
ปอด
เส้นที่ 5 นิ้วกลาง
เยื่อหุ้มหัวใจ
เส้นที่ 6 นิ้วก้อยด้านใน หัวใจ ทั้ง 2 ข้างเหมือนกัน
การตีลัญจกร คือ การกด รัด ทับ
เชื่อม ฝ่ามือ ให้เป็นแผงวงจรอิเล็กทรอนิคเหมือนเสาอากาศ รับคลื่นจากสนามแม่เหล็ก
เช่น เจ็บหน้าอก บกพร่องธาตุไฟ พระจะสวดคาถาหัวใจ
เราต้องติดตั้งเสาอากาศรับคลื่นสนามแม่เหล็กดาวอังคาร คำสวดของพระ คือ ไดสตาร์ท
ให้พลังงานในร่างกายเราเชื่อมกับสนามแม่เหล็กของจักรวาลและเหนี่ยวนำหรือดูด
ซึมโดยแผงวงจรอิเลคทรอนิค ที่เราเรียกว่า ตีลัญจกร
ขั้นตอนการบำบัดโรคโดย
“ตีลัญจกร”
เนื่องจาก “ตีลัญจกร” คือการบำบัดและป้องกันโรค
โดยใช้การ กด รัด พับ เชื่อมจุดต่างๆ บนฝ่ามือ ดังนั้นเราจึงสามารถใช้ “ตีลัญจกร” ได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นตอนเช้า
ช่วงเวลาระหว่างรถติด ระหว่างการประชุม แม้กระทั่งก่อนนอน
ซึ่งถ้าเราทำต่อเนื่องอย่างสม่ำเสมอติดต่อกันเป็นประจำ ประมาณ 2 สัปดาห์ก็เริ่มเห็นผล
ข้อควรระวังในการฝึก “ตีลัญจกร”
1. ไม่ควรฝึกในขณะที่อิ่ม
หรือหิวจัด เมาค้าง หรืออดนอน
2. ควรใส่เสื้อผ้าที่สบาย
ไม่รัด
3. ควรฝึกแต่ละครั้งอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า
15 นาที แต่ไม่เกิน 30 นาที
4. เพื่อให้เกิดผล
ควรฝึกอย่างต่อเนื่อง ประมาณ 2 สัปดาห์
การ ตีลัญจกร เป็นศาสตร์ที่ใช้บำบัดและป้องกันโรคร้ายต่างๆ
ที่เกิดจากอวัยวะต่างๆ ในร่างกายทำงานไม่สมดุล เช่นนอนไม่หลับ, เครียด,ไมเกรน,โรคประสาท,โรคมะเร็งและซิสต์ฯลฯ
อ้างอิง : ขอขอบคุณ www.ayuyuen.com และบันทึกฯ งานถ่ายทอดเทคโนโลยี กองการแพทย์ทางเลือก
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น