หลังจากได้แนะนำเรื่อง"ขอวีซ่าพม่าไม่ยากอย่างที่คิด" ไปแล้ว คราวนี้ก็ถึงโอกาสที่จะได้ไปสัมผัสดินแดนเจดีย์ทอง หรือพุกามประเทศกันเสียที
เมื่อได้รับวีซ่าท่องเที่ยวเรียบร้อยกันทุกคน ตั๋วเครื่องบินพร้อมและโปรแกรมเดินทางไปพม่าครั้งนี้ก็พร้อม ซึ่งเรากำหนดไว้ 4 วัน เป็นการท่องเที่ยวที่เน้นการไปไหว้พระ เป็นส่วนใหญ่ เพราะเป็นดินแดนที่เปี่ยมล้นด้วยแรงศรัทธาของพุทธศาสนิกชนชาวมอญและพม่า โดยเฉพาะสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุด 5 แห่งที่ได้แนะนำไปแล้วในเรื่อง"ไหว้พระ 5 มหาบูชาสถาน" แต่ถึงแม้ว่าคราวนี้จะได้ไปไหว้แค่ 3 มหาบูชาสถาน ก็ตามแต่ถือได้ว่าเป็นสุดยอดแห่งการได้ไปเยือนพม่าหรือเมียนมาร์ เลยทีเดียว
เรื่องราวที่จะนำมาแบ่งปันนั้นก็จะเน้นที่รูปภาพ พร้อมเกร็ดหรือประวัติโดยสังเขป ถือว่าไปเที่ยวแบบสบายๆ เป็นกันเอง ชมภาพสวยๆแปลกตาหลายบรรยากาศกันแบบเพลินๆ ตามผมไปไหว้พระที่พม่ากันได้เลยครับ
สนามบินมิงกะลาดง คือชื่อของสนามบินย่างกุ้ง ที่สร้างขึ้นใหม่เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวที่ไปเยือนซึ่งดูโอ่โถงทันสมัยพอสมควร ถึงจะไม่ใหญ่โตแต่ก็ดูกว้างขวางและสะอาดสะอ้านพอเป็นหน้าเป็นตาได้ระดับหนึ่ง สำหรับด่านแรกที่เข้ามาถึงประเทศพม่า
หลังจากผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง (อย่างฉลุย..เพราะมีวีซ่าเรียบร้อย)และศุลกากรที่แค่เอากระเป๋าผ่านเครื่องเอ็กซเรย์แล้วก็ออกมาขึ้นรถบัสปรับอากาศ สภาพใหม่แอร์เย็น ไปเที่ยวกันเลยครับ
"ยินดีต้อนรับ" สู่สหภาพเมียนม่าร์ ด้วยพระพักตร์พระพุทธรูปหยกขาว ศิลปะพม่า ที่งดงาม
พระมหาธาตุเจดีย์ชเวดากอง 1 ใน 5 มหาบูชาสถาน สิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดของชาวพม่าที่งดงามยิ่งใหญ่อลังการ ทั้งกลางวันและกลางคืน เป็นพระธาตุประจำปีเกิด มะเมีย ตามคติความเชื่อของล้านนา
ค่าเข้าชมคนละ 5 เหรียญดอลลาร์อเมริกัน เปิดให้เข้าได้ตั้งแต่ ตี 5 จนถึง 4 ทุ่ม
บริเวณลานพระเจดีย์ในพม่า มักจะทำที่บูชาเทวดาประจำดาวนพเคราะห์ ทั้ง ๘ ทิศไว้ให้ได้สรงน้ำพระ สรงน้ำเทวดา สรงน้ำสัตว์สัญลักษณ์ เท่ากำลังวันของแต่ละคน เพื่อขอพรและความเป็นสิริมงคลมีน้ำจากก็อกเปิดใส่ขันใบใหญ่ และขันน้ำใช้สรงได้อย่างเต็มที่ ในรูปเป็นเทวดาประจำวันเสาร์ อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ขององค์เจดีย์ ต้องสรงน้ำที่ละ ๑๐ ขัน(ตามกำลังวัน)
ชาวพม่ารับคติความเชื่อนี้มาจึงนิยมปั้นรูปสิงห์ไว้ตามพุทธสถานทุกแห่ง ต่อมาในสมัยพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองได้ยึดครองนครพิงค์เชียงใหม่เป็นประเทศราช คติเรื่อง การปั้นสิงห์ไถ่บาปจึงถ่ายทอดสู่ดินแดนล้านนาไทยด้วย ขอบคุณข้อมูล:ท่องแดนเจดีย์ไพร ในพุกามประเทศ(ธีรภาพ โลหิตกุล)
บริเวณฐานพระมหาเจดีย์ชเวดากอง ยังประดับปูนปั้นรูป "มนุษย์สิงห์" หรือ "นรสิงห์" คือมีหัวเป็นมนุษย์สวมชฎาแต่มีลำตัวเป็นสิงห์แฝด ตามตำนานเล่าขานว่าเมื่อครั้งพระเจ้าอโศกมหาราชทรงส่งสมณทูตคือ พระโสณะกับพระอุตตระ เผยแผ่พระพุทธศาสนาในดินแดนมอญ ณ เมืองสะเทิม หรือ สุธรรมวดี เวลานั้นเกิดมีนางยักขินีเที่ยวจับทารกกินเป็นอาหารยังความเดือดร้อนทั้งราษฎรและพระมหากษัตริย์มอญ สมณทูตทั้งสองจึงแสดงปาฏิหาริย์จำแลงกายเป็นมนุษย์สิงห์จนนางยักขินีกลัวเลยหนีสาบสูญไป ครั้นบ้านเมืองสงบสุขพระพุทธศาสนารุ่งจำเริญกษัตริย์มอญจึงมี พระราชดำริให้ทำรูปมนุษย์สิงห์เป็นสัญลักษณ์ป้องกันภยันตรายแก่ราษฎรนับแต่นั้นมา(ข้อมูล:ท่องแดนเจดีย์ไพรฯ)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น